วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2557

The U.S. Candidate Presidential in 2016


คงจะต้องยอมรับว่าสหรัฐอเมริกาเจ้าของตำแหน่ง "มหาอำนาจเบอร์ 1" ของโลกในยุคปัจจุบันนับแต่การสิ้นสุดของสงครามเย็น สหรัฐอเมริกาก็ผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำโลกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อประเทศมหาอำนาจนี้ทำอะไรลงไป ย่อมส่งผลกระทบต่อประชาคมโลกเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และ "การเมือง"

แม้ว่าจะเพิ่งผ่านมาปีกว่าๆสำหรับศึกชิงทำเนียบขาวในปี 2012 ระหว่างเจ้าของเก้าอี้เก่าอย่างนายบารัค โอบามา จากพรรคเดโมแครต และผู้ท้าชิงจากพรรครีพับลิกัน อย่างนายมิตต์ รอมนี่ย์ ผลคือเจ้าของเก้าอี้เก่า คือ โอบามา สามารถรักษาเก้าอี้ไว้ได้อีกสมัยหนึ่ง 


การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในปี 2016 (พ.ศ.2559) แม้จะอีกนานกว่าจะถึงแต่ก็ดูเหมือนพรรคการเมืองใหญ่สองพรรคก็เริ่มมีความชัดเจนแล้วเรื่องผู้สมัคร (The Candidate) และการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นการเลือกตั้งที่น่าจับตาดูมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะ การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นอีกสองปีข้างหน้าจะเป็น "จุดเปลี่ยน" ที่สำคัญมากของการเมืองสหรัฐอเมริกา และการแข่งขันและเดิมพันจะสูงมากกว่าปีก่อนๆ เนื่องจากนายบารัค โอบามา เมื่อหมดวาระในครั้งนี้แล้วจะไม่สามารถลงแข่งเป็นประธานาธิบดีได้อีก เนื่องจากรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริการะบุไว้ว่า ห้ามประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งเกินสองวาระ นั่นหมายความว่า ทั้งสองพรรคจะต้องหาผู้สมัครหน้าใหม่ลงแข่งขันกัน และการเลือกตั้งครั้งนี้ฝ่ายที่ดูเหมือนจะกุมไพ่เหนือกว่าคือ พรรครีพับลิกัน เพราะรสนิยมการเลือกผู้นำของชาวอเมริกันจะไม่ชอบเลือกผู้นำจากพรรคเดียวกันติดต่อกัน ครั้งนี้เดโมแครตชนะ ดังนั้นรีพับลิกันจึงดูมีเครดิตกว่า บวกกับคะแนนนิยมของนายโอบามา ที่นับมันยิ่งตกต่ำลง เนื่องจากความไม่เด็ดขาดในวิกฤติการณ์ไครเมีย ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของนายโอบามาที่จะต้องใช้เวลาที่เหลืออยู่ในตำแหน่งประมาณสองปีฟื้นฟูคะแนนนิยมของตัวเองให้ดีมากยิ่งขึ้น เพราะคะแนนนิยมของโอบามา คือความน่าเชื่อถือของพรรคเดโมแครต และจะส่งผลโดยตรงต่อผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตรายต่อไปนั่นเอง อย่างไรก็แล้วแต่เมื่อเราพูดถึงบรรยากาศการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกาแล้ว ก็คงจะเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพูดถึงผู้สมัครที่เป็น "ตัวเต็ง" ของทั้งสองพรรค เรามาดูกันว่าจะมีใครกันบ้าง?



นายโจ ไบเดน (ซ้าย) รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
นางฮิลลารี่ คลินตัน (ขวา) อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา














พรรคแรกที่จะกล่าวถึงคือ พรรคเดโมแครต พรรคการเมืองเสรีนิยมอันเก่าแก่ของสหรัฐอเมริกาที่ค่อนข้างจะมีความชัดเจนออกมาแล้วถึงตัวผู้สมัครที่จะเป็นตัวเต็งของพรรค เดิมทีมีด้วยกันหลายท่านที่จะคาดว่าจะลงสมัครแข่งขันเป็นตัวแทนของพรรค แต่ขอตัดเหลือสองคนที่คิดว่าน่าจะเป็นตัวเต็ง(จริงๆ) เพราะ มีอิทธิพลอย่างสูงในพรรครวมถึงเป็นที่ชื่นชอบของชาวอเมริกันในขณะนี้ นั่นคือ นายโจ ไบเดน และนางฮิลลารี่ คลินตัน แม้ทั้งสองคนนี้จะอายุค่อนข้างจะมากแล้ว แต่ก็ถือว่าทรงอิทธิพลและมีประสบการณ์มากมาย จึงเรียกได้ว่า "รุ่นเก่า เก๋าประสบการณ์" 


ปีนี้ก็ปาเข้าไป 72 ปี แล้วสำหรับคนแรกที่เราจะกล่าวถึงคือ "คุณปู่โจ ไบเดน" แต่แม้จะอายุมากแต่ขอบอกเลยคนๆนี้เป็นคนไม่ธรรมดาจริงๆ เห็นหัวขาวๆแบบนี้แต่พิษสงร้ายกาจนัก คุณปู่ไบเดนปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา คุณปู่ไบเดนเป็นวุฒิสมาชิกที่ครองตำแหน่งยาวนานที่สุดเป็นอันดับ 6 ในประวัติศาสตร์อีกด้วย เขามีความเชี่ยวชาญอย่างมากเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และด้วยเป็นคนที่เข้าถึงง่าย มีอัธยาศัยดี แถมเป็นนักการเมืองประเภทที่ว่า "แก่แต่ก็เข้าใจวัยรุ่น" เป็นคนแก่ที่ไม่หัวโบราณ ด้วยการประกาศว่าตนสนับสนุนกฎหมายการแต่งงานของชาวรักร่วมเพศ จึงสร้างความฮือฮาและทำให้ประชาชนชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อยที่เลือกจะสนับสนุนเขาให้เป็นประธานาธิบดี แต่อย่างไรก็แล้วแต่คุณปู่ไบเดนได้บอกว่าเขายังจะไม่ตัดสินใจว่าจะลงสมัครเป็นผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2016 หรือไม่? แต่เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ผมค่อนข้างจะแน่ใจว่าเขาจะพร้อมสำหรับการลงสมัครเป็นประธานาธิบดีแน่นอน ถึงแม้ว่าอายุจะมากแล้ว แต่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ก็คิดว่าอายุของเขาไม่ใช่อุปสรรคสำคัญในเส้นทางการสู่ทำเนียบขาวของเขา










































วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ถาม-ตอบเกี่ยวกับกฎหมาย

1. กฎหมาย คืออะไร?

ตอบ กฎหมาย คือ คำสั่งหรือข้อบังคับความประพฤติของมนุษย์  ซึ่งผู้มีอำนาจสูงสุด หรือรัฏฐาธิปัตย์เป็นผู้บัญญัติขึ้นผู้ใดฝ่าฝืน มีสภาพบังคับ

2. ลักษณะสำคัญของกฎหมาย มีอะไรบ้าง?

ตอบ 

          2.1 กฎหมายมีลักษณะเป็นกฎเกณฑ์ กล่าวคือ ต้องเป็นข้อบังคับที่เป็นมาตรฐาน ใช้วัดและกำหนดความประพฤติของสมาชิกในสังคมได้ว่าถูกหรือผิด ทำได้หรือไม่ได้เป็นต้น เช่น ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเชิญชวนให้ประชาชนสวมใส่ชุดดำเนื่องในการสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ไม่เป็นกฎหมาย เพราะไม่ใช่ข้อกำหนดที่บ่งบอกว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก ไม่อาจวัดเป็นมาตรฐานได้ว่าการแต่งชุดดำเช่นนั้นแล้วเป็นการถูกกฎหมาย การไม่แต่งผิดกฎหมาย และที่สำคัญ ประกาศนั้นเป็นแต่การเชิญชวน มิได้เป็นการบังคับ เป็นต้น
         2.2 กฎหมายกำหนดความประพฤติของบุคคล กล่าวคือ กฎหมายควบคุมแต่ความประพฤติของบุคคลเท่านั้น มิได้ก้าวล่วงเข้าไปถึงจิตใจ จึงอาจกล่าวได้ว่าศาสนา ศีลธรรม และจารีตประเพณีควบคุมมนุษย์ได้ลึกซึ้งยิ่งกว่ากฎหมาย และกฎหมายนั้นหยาบกว่าสิ่งเช่นว่า ทั้งนี้ ความประพฤติที่จะถูกควบคุมมีองค์ประกอบ ได้แก่ 1) มีการเคลื่อนไหวหรือไม่เคลื่อนไหวร่างกาย และ 2) การเคลื่อนไหวหรือไม่เคลื่อนไหวเช่นนั้นอยู่ภายในความควบคุมของจิตใจ กล่าวอีกชั้นคือ บุคคลรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่
          2.กฎหมายมีสภาพบังคับ สภาพบังคับ (sanction) ของกฎหมายนั้นมีทั้งที่เป็นผลร้าย เช่น โทษทางอาญา และผลดี เช่น การลดภาษีเงินได้
         สำหรับสภาพบังคับที่เป็นผลดีนั้น ในความจริงแล้วมนุษย์มิใช่จะปฏิบัติตามกฎหมายเพราะเกรงจะได้รับผลร้ายเท่านั้น แต่อาจเพราะมีแรงจูงใจด้วย เช่น บทบัญญัติในมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2520 ว่า "ผู้ได้รับการส่งเสริมจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรที่ได้จากการประกอบกิจการ..." เป็นต้น
          2.กฎหมายมีกระบวนการอันเป็นกิจจะลักษณะ ในอดีต สำหรับการบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายบางทีก็ใช้ระบบตาต่อตาฟันต่อฟัน แต่สังคมสมัยใหม่ซึ่งมีการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจ กล่าวคือ รัฐออกกฎหมายและรัฐเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย รัฐสมัยใหม่จะไม่ยอมให้มีการบังคับใช้กฎหมายโดยประชาชนเลย เพราะจะทำให้คนที่แข็งแรงกว่ากระทำเกินเลยต่อคนที่อ่อนแอกว่าได้ กับทั้งจะเกิดความวุ่นวายประการอื่น ๆ
            กระบวนการบังคับใช้กฎหมายเช่นนี้ รัฐกระทำผ่านองค์กรต่าง ๆ เช่น ตำรวจ อัยการ ศาล ราชทัณฑ์ ฯลฯ 
         อย่างไรก็ดี มีการเว้นให้ประชาชนบังคับใช้กฎหมายได้เองเป็นกรณีพิเศษ คือ 1) กรณีเพื่อการป้องกันตามกฎหมายอาญา เช่น การป้องกันตนเองจากภัยที่ใกล้จะถึง และการป้องกันนั้นไม่เกินกว่าเหตุ เป็นต้น และ 2) กรณีที่ได้รับนิรโทษกรรมตามกฎหมายแพ่ง เช่น กรณีเพื่อป้องกันสิทธิของตนเอง หากไปแจ้งทางราชการจะไม่ทันท่วงที กรณีเช่นนี้บุคคลไม่ต้องใช้สินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้น เป็นต้น

3. กฎหมายมีความสำคัญหรือมีประโยชน์อย่างไร?

ตอบ 
            3.1 กฎหมายสร้างความเป็นระเบียบและความสงบเรียบร้อยให้กับสังคมและประเทศชาติ  เมื่ออยู่รวมกันเป็นสังคมทุกคนจำเป็นต้องมีบรรทัดฐาน ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติยึดถือเพื่อความสงบเรียบร้อย ความเป็นปึกแผ่นของกลุ่ม
            3.2 กฎหมายเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของมนุษย์ พลเมืองไทยทุกคนต้องปฏิบัติตนตามข้อบังคับของกฎหมาย ถ้าใครฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามต้องได้รับโทษ กฎหมายจะเกี่ยวข้องกับ การดำรงชีวิตของเราตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย
                3.3 กฎหมายก่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม คนเราทุกคนย่อมต้องการความ ยุติธรรมด้วยกันทั้งสิ้น การที่จะตัดสินว่าการกระทำใดถูกต้องหรือไม่นั้น ย่อมต้องมีหลักเกณฑ์ ฉะนั้น กฎหมายจึงเป็นกฎเกณฑ์สำคัญที่เป็นหลักของความยุติธรรม
                3.4 กฎหมายเป็นหลักในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน การกำหนดนโยบายพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าไปในทางใด หรือคุณภาพของพลเมืองเป็นอย่างไร จำเป็นต้องมีกฎหมายออกมาใช้บังคับ เพื่อให้ได้ผลตามเป้าหมายของการพัฒนาที่กำหนดไว้ ดังจะเห็นได้จากการที่กฎหมายได้กำหนดให้บุคคลมีสิทธิได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า 12 ปี โดยรัฐเป็นผู้จัดการศึกษาให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายนั้น ย่อมส่งผลให้ คุณภาพด้านการศึกษาของประชาชนสูงขึ้น หรือการที่กฎหมายกำหนดให้ประชาชนทุกคนมีหน้าที่ พิทักษ์ปกป้อง และสืบสานศิลปวัฒนธรรมของชาติ ภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ย่อมทำให้สังคมและสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนมีมาตรฐานดีขึ้น

4. การแบ่งประเภทของกฎหมาย มีการแบ่งตามหลักเกณฑ์ใดบ้าง?

ตอบ  การแบ่งประเภทของกฎหมายอาจแบ่งได้หลายลักษณะ ขึ้นอยู่กับผู้แบ่งว่าจะใช้อะไรเป็นหลักแต่โดยทั่วไปแล้วเราจะแบ่งอย่างคร่าวๆ ก่อนโดยแบ่งกฎหมายออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่กฎหมายภายในซึ่งเป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นใช้โดยองค์กรที่มีอำนาจภายในรัฐหรือประเทศและกฎหมายภายนอกซึ่งเป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นจากสนธิสัญญา หรือข้อตกลงระหว่างประเทศ  
          กฎหมายภายในและกฎหมายภายนอก ยังอาจแบ่งย่อยได้อีกหลายลักษณะ ตามหลักเกณฑ์ที่แตกต่างกัน ดังนี้

          กฎหมายภายใน แบ่งได้หลายลักษณะตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
         1.ใช้เนื้อหาของกฎหมายเป็นหลักเกณฑ์การแบ่ง แบ่งกฎหมายออกเป็น 2 ประเภท คือ
                 1.1 กฎหมายลายลักษณ์อักษร ได้แก่ ตัวบทกฎหมายต่าง ๆ ที่บัญญัติขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร โดยองค์กรที่มีอำนาจตามกระบวนการนิติบัญญัติ เช่น รัฐธรรมนูญ ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พระราชบัญญัติต่าง ๆ ฯลฯ เป็นต้น
                 1.2 กฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ จารีตประเพณีต่าง ๆ ที่นำมาเป็นหลักในการพิจารณาตัดสินคดีความดังได้กล่าวมาแล้วในเรื่องที่มาของกฎหมาย ซึ่งในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยก็มีบทบัญญัติไว้ในมาตรา 4 วรรค 2 ว่า เมื่อไม่มีบทกฎหมายใดที่จะยกมาปรับแก้คดีได้ท่านให้วินิจฉัยคดีนั้นตามคลอง จารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น
          2.ใช้สภาพบังคับกฎหมายเป็นหลักในการแบ่ง แบ่งกฎหมายออกเป็น 2 ประเภท คือ
                   2.1กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา ได้แก่ กฎหมายต่าง ๆ ที่มีโทษตามบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา เช่น ประมวลกฎหมายอาญาพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พระราชบัญญัติรับราชการทหาร ฯลฯ เป็นต้น
                         2.2กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง สภาพบังคับทางแพ่งมิได้มีบัญญัติไว้ชัดเจนเหมือนสภาพบังคับทางอาญาแต่ก็อาจสังเกตได้จากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่น การบังคับชำระหนี้ การชดใช้ค่าเสียหาย หรืออาจสังเกตได้อย่างง่าย ๆ คือ กฎหมายใดที่ไม่มีบทบัญญัติกำหนดโทษทางอาญา ก็ย่อมเป็นกฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง
          3.ใช้บทบาทของกฎหมายเป็นหลักเกณฑ์ในการแบ่ง แบ่งกฎหมายออกเป็น 2 ประเภท คือ
                        3.1กฎหมายสารบัญญัติ ได้แก่ กฎหมายที่กล่าวถึงการกระทำต่าง ๆ ที่เป็นองค์ประกอบของความผิดโดยทั่วไปแล้วกฎหมายส่วนใหญ่ จะเป็นกฎหมายสารบัญญัติ
                  3.2กฎหมายวิธีสบัญญัติ ได้แก่ กฎหมายที่กล่าวถึงวิธีการที่จะนำกฎหมายสารบัญญัติไปใช้ว่าเมื่อมีการทำผิดบท บัญญัติกฎหมาย จะฟ้องร้องอย่างไร จะพิจารณาตัดสินอย่างไร พูดให้เข้าใจง่าย ๆ กฎหมายวิธีสบัญญัติก็คือ กฎหมายที่กล่าวถึงวิธีการเอาตัวผู้กระทำผิดไปรับสภาพบังคับนั่นเองเช่น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งกฎหมายวิธีพิจารณาความในศาลแขวงกฎหมายวิธีพิจารณา คดีเยาวชนและครอบครัว เป็นต้น
          4.ใช้ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนเป็นหลักเกณฑ์ในการแบ่ง แบ่งกฎหมายออกเป็น 2 ประเภท คือ
                  4.1กฎหมายเอกชน ได้แก่กฎหมายที่บัญญัติถึงความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนด้วยกัน โดยที่รัฐไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จำกัด เป็นต้น
                  4.2กฎหมายมหาชนได้แก่ กฎหมายที่บัญญัติถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนในฐานะที่รัฐเป็นผู้ ปกครองจงต้องมีอำนาจบังคับให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสงบสุข เช่น รัฐธรรมนูญ ประมวลกฎหมายอาญา พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พระราชบัญญัติป้องกันการค้ากำไรเกินควร หรือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความต่าง ๆ เป็นต้น

          กฎหมายภายนอก กฎหมายภายนอก หรือกฎหมายระหว่างประเทศ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
                 1.กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง ได้แก่ กฎเกณฑ์ ข้อบังคับที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐที่จะปฏิบัติต่อกันเมื่อมี ความขัดแย้งหรือเกิดข้อพิพาทขึ้น เช่น กฎบัตรสหประชาชาติ หรือได้แก่ สนธิสัญญา หรือเกิดจากข้อตกลงทั่วไป ระหว่างรัฐหนึ่งกับรัฐหนึ่งหรือหลายรัฐที่เป็นคู่ประเทศภาคีซึ่งให้สัตยาบัน ร่วมกันแล้วก็ใช้บังคับได้เช่น สนธิสัญญาไปรษณีย์สากล เป็นต้น
             2.กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล ได้แก่ บทบัญญัติที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลรัฐหนึ่งกับอีกรัฐหนึ่งเมื่อ เกิดความขัดแย้งข้อพิพาทขึ้นจะมีหลักเกณฑ์วิธีการพิจารณาตัดสินคดีความอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบกัน เช่น ประเทศไทยเรามีพระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกับแห่งกฎหมาย ซึ่งใช้บังคับกับบุคคลที่อยู่ในประเทศไทยกับบุคคลที่อยู่ในประเทศอื่น ๆ
              3.กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญาได้แก่ สนธิสัญญา หรือข้อตกลงเกี่ยวกับการกระทำความผิดทางอาญาซึ่งประเทศหนึ่งยินยอมหรือ รับรองให้ศาลของอีกประเทศหนึ่งมีอำนาจพิจารณาตัดสินคดีและลงโทษบุคคลประเทศ ของตนที่ไปกระทำความผิดในประเทศนั้นได้ เช่นคนไทยไปเที่ยวสหรัฐอเมริกาแล้วกระทำความผิด ศาลสหรัฐอเมริกาก็พิจารณาตัดสินลงโทษได้หรือบุคคลประเทศหนึ่งกระทำความผิด แล้วหนีไปอีกประเทศหนึ่ง เป็นการยากลำบากที่จะนำตัวมาลงโทษได้ จึงมีการทำสนธิสัญญาว่าด้วยการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนเพื่อให้ประเทศที่ผู้กระทำความผิดหนีเข้าไปจับตัวส่งกลับมาลงโทษ ซึ่งถือว่าเป็นการร่วมมือกันปราบปรามอาชญากรรม ปัจจุบันนี้ประเทศไทยทำสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนกลับ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา เบลเยี่ยม และอิตาลี ฯลฯ เป็นต้น

5. ให้นักเรียนเขียน ศักดิ์ หรือลำดับชั้นของกฎหมาย เรียงจากสูงไปหาต่ำ?


ตอบ ลำดับศักดิ์ของกฎหมายในระบบกฎหมายไทย แบ่งอย่างละเอียดเป็น 7 ชั้น ได้แก่
                   1. รัฐธรรมนูญ
                   2. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
                   3. พระราชบัญญัติ
                   4. พระราชกำหนด
                   5. พระราชกฤษฎีกา
                   6. กฎกระทรวง
                   7. ข้อบัญญัติท้องถิ่น ได้แก่ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร และข้อบัญญัติเมืองพัทยา

6. ที่มาของกฎหมายในระบบ Civil Law มีอะไรบ้าง?

ตอบ 

          ซีวิลลอว์ (อังกฤษ: civil law) เป็นระบบกฎหมายซึ่งได้รับอิทธิพลจากกฎหมายโรมัน ลักษณะพื้นฐานของซีวิลลอว์คือ เป็นกฎหมายที่บัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เป็นระบบประมวล และมิได้ตัดสินตามแนวคำพิพากษาของศาล ระบบกฎหมายดังกล่าวจึงได้ยึดถือฝ่ายนิติบัญญัติเป็นบ่อเกิดหลักของกฎหมาย และระบบศาลมักจะใช้วิธีพิจารณาโดยระบบไต่สวน และศาลจะไม่ผูกพันตามคำพิพากษาในคดีก่อนๆ
          ในเชิงความคิด ซีวิลลอว์เป็นกลุ่มของแนวคิดและระบบกฎหมายซึ่งได้รับมาจากประมวลกฎหมายจัสติเนียน รวมไปถึงกฎหมายของชนเผ่าเยอรมัน สงฆ์ ระบบศักดินา และจารีตประเพณีภายในท้องถิ่นเอง รวมไปถึงความคิดเช่น กฎหมายธรรมชาติ แนวคิดในการจัดทำประมวลกฎหมาย และกลุ่มปฏิฐานนิยม (กลุ่มที่ยึดถือกฎหมายที่บัญญัิติไว้เป็นหลัก)
          ซีวิลลอว์ดำเนินจากนัยนามธรรม วางระเบียบหลักการทั่วไป และแบ่งแยกกฎระเบียบสารบัญญัติออกจากระเบียบพิจารณาความ ในระบบนี้จะให้ความสำคัญกับกฎหมายลายลักษณ์อักษรเป็นอันดับแรก เมื่อมีข้อเท็จจริงปรากฏขึ้น จะพิจารณาก่อนว่ามีกฎหมายลายลักษณ์อักษรบัญญัติไว้หรือไม่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงดังกล่าว ถ้ามีก็จะนำกฎหมายลายที่บัญญัติไว้นั้นนำมาปรับใช้กับข้อเท็จจริง หากไม่มีกฎหมายให้พิจารณาจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นนั้นๆ จารีตประเพณีก็คือ ประเพณีที่ประพฤติและปฏิบัติกันมานมนาน และไม่ขัดต่อศีลธรรม ถ้าไม่ปฏิบัติตามก็ถือว่าผิด และถ้าไม่มีจารีตประเพณีที่เกี่ยวข้อง กฎหมายจะอนุโลมให้ใช้บทบัญญัติที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งก่อน จนในที่สุดหากยังไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งอีก ก็จะให้นำหลักกฎหมายทั่วไปมาปรับใช้ ดังนั้นในระบบนี้จึงไม่ยึดหลักคำพิพากษาเดิม จะต้องดูตัวบทก่อนแล้วถึงจะตัดสินคดีได้


          หลักสำคัญของซีวิลลอว์คือการให้ประชาชนทุกคนสามาถรู้กฎหมายที่ตนและผู้พิพากษาต้องเคารพและปฏิบัติตาม โดยที่กฎหมายนั้นต้องเป็นลายลักษณ์อักษร ซีวิลลอว์เป็นระบบกฎหมายที่ใช้กันอย่างกว้างขวางที่สุดในโลก นำมาใช้ในลักษณะต่างๆ ประมาณ 150 ประเทศ และเป็นระบบกฎหมายที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังใช้มาจนถึงปัจจุบัน การล่าอาณานิคมทำให้ระบบซีวิลลอว์และระบบซีวิลลอว์อย่างยุโรปนำมาใช้อย่างกว้างขวางในประเทศกลุ่มละตินอเมริกา เอเชีย และแอฟริกา
          บ่อเกิดสำคัญหลักของกฎหมายคือประมวลกฎหมาย ซึ่งเป็นประมวลที่รวบรวมกฎหมายที่บัญญัติขึ้นไว้อย่างเป็นระบบ การจัดทำประมวลกฎหมายมักจะเกิดจากการที่ฝ่ายนิติบัญญัติบัญญัติกฎหมายใหม่ขึ้นซึ่งได้รวมถึงกฎหมายในเรื่องเดียวกันนั้นที่มีอยู่แล้วและรวมถึงการตีความซึ่งผู้พิพากษาซึ่งได้ตีความไว้เป็นคำพิพากษา เพราะในบางกรณีการตีความกฎหมายโดยผู้พิพากษาอาจทำให้เกิดแนวคิดใหม่ทางกฎหมาย ระบบกฎหมายที่สำคัญอื่นของโลก เช่น ระบบกฎหมายคอมมอนลอว์ และระบบกฎหมายอิสลาม
          ระบบกฎหมายซีวิลลอว์อาจแบ่งได้เป็น 4 ประเภท
              1. ซีวิลลอว์ที่ยังใช้กฎหมายโรมันและไม่มีแนวคิดในการจัดทำประมวลกฎหมายแพ่ง ได้แก่ อันดอรา และซานมาริโน
              2. ซีวิลลอว์ที่เป็นระบบผสม กฎหมายโรมันเป็นบ่อเกิดกฎหมายที่สำคัญ แต่ยังได้รับอิทธิพลจากระบบกฎหมายคอมมอนลอว์ด้วย ได้แก่ สกอตแลนด์ และประเทศที่ใช้กฎหมายโรมัน-ดัตช์ (แอฟริกาใต้ แซมเบีย ซิมบับเว ศรีลังกา และกียานา)
             3. ซีวิลลอว์ที่ใช้ประมวลกฎหมายเป็นหลัก เช่น ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว "ซีวิลลอว์" จะหมายถึงระบบกฎหมายซีวิลลอว์ประเภทนี้ และในบทความนี้จะเป็นการอธิบายถึงซีวิลลอว์ประเภทนี้เป็นหลัก
             4. ซีวิลลอว์ประเภทสแกนดิเนเวียน โดยมีพื้นฐานมาจากกฎหมายโรมันและกฎหมายจารีต รวมไปถึงการจัดทำประมวลกฎหมายบางส่วน กฎหมายของรัฐหลุยเซียน่าและควิเบกอาจถือได้ว่าใช้ระบบผสม ที่มีทั้งประมวลกฎหมายแพ่งในรูปแบบฝรั่งเศสและกฎหมายจารีตของฝรั่งเศสในยุคก่อนปฏิวัติ และยังได้รับอิทธิพลจากระบบคอมมอนลอว์ด้วย
        ตัวอย่างที่สำคัญของซีวิลลอว์ ได้แก่ ประมวลกฎหมายนโปเลียน (1804) ซึ่งตั้งชื่อตามจักรพรรดินโปเลียน โบนาปาร์ตแห่งฝรั่งเศส ประมวลกฎหมายดังกล่าวประกอบด้วย 3 ส่วน กล่าวคือ กฎหมายลักษณะบุคคล ทรัพย์ และกฎหมายพาณิชย์ ประมวลกฎหมายนั้นจะประกอบด้วยหลักกฎหมายที่เป็นนามธรรม ไม่ใช่การนำคำพิพากษาของศาลมารวบรวมให้เป็นกฎหมาย
          ในบางครั้ง อาจเรียกระบบกฎหมายซีวิลลอว์ว่า ระบบกฎหมายโรมันใหม่ ระบบกฎหมายโรมันโน-เยอรมันิค หรือระบบกฎหมายยุโรป

          ลักษณะเฉพาะของระบบกฎหมายซีวิลลอว์  คือ
                1. กฎหมายระบบนี้ถือว่ากฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรมีความสำคัญกว่าคำพิพากษาของศาล และจารีตประเพณี
                2. กฎหมายระบบนี้  คำพิพากษาของศาลไม่ใช่ที่มาของกฎหมาย แต่เป็นเพียงบรรทัดฐานแบบอย่างของการตีความหรือการใช้กฎหมายของศาลเท่านั้น
                3. การศึกษากฎหมาย ต้องเริ่มต้นจากตัวบทกฎหมายเป็นสำคัญ จะถือเอาคำพิพากษาศาล หรือความเห็นของนักกฎหมายเป็นหลักเช่นเดียวกับหลักกฎหมายไม่ได้
                4. กฎหมายระบบนี้มีการแบ่งแยกกฎหมายออกเป็น 2 สาย คือ กฎหมายเอกชนซึ่งเป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนด้วยกันเอง เช่น กฎหมายแพ่ง กฎหมายพาณิชย์ กฎหมายเกษตร เป็นต้น และกฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับการใช้อำนาจปกครองของรัฐ เช่น กฎหมายปกครอง กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายภาษีอากร เป็นต้น       

7. ที่มาของกฎหมายในระบบ Common Law มีอะไรบ้าง?

ตอบ
          ระบบกฎหมายคอมมอนลอว์นั้นมีต้นแบบมาจากประเทศ อังกฤษ ซึ่งเดิมก่อนศตวรรษที่ 11ประเทศอังกฤษยังไม่เป็นปึกแผ่นโดยแบ่งการปกครองเป็นตามแคว้นหรือเผ่าของตน เอง มีระบบกฎหมายและระบบศาลตามเผ่าของตนเองไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ต่อมาประมาณศตวรรษที่ 10-15 พระเจ้าวิลเลี่ยม ดยุคแห่งแคว้นนอร์มังดีของฝรั่งเศสได้ยกกองทัพเข้ายึดครองเกาะอังกฤษหลังจาก การสู้รบกันระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส โดยผลัดกันยกกองทัพไปรบ การรบครั้งแรกก็ไม่ได้ชัยชนะ
          ต่อมาก็บุกเข้าไปยึดครองอังกฤษได้ เจ้าผู้ครองแคว้นต่างๆ ในอังกฤษยอมสวามิภักดิ์และยอมอยู่ภายใต้อำนาจของพระเจ้าวิลเลี่ยมหรือดยุค แห่งนอร์มังดี นับเป็นครั้งแรกที่ได้มีการรวบรวมและปกครองเกาะอังกฤษให้เป็นอันหนึ่งอัน เดียวกันภายใต้การนำของดยุคแห่งนอร์มังดี อังกฤษจึงเป็นปึกแผ่นครั้งแรกตามประวัติศาสตร์
          อย่างไรก็ตามการปกครองในครั้งนั้นพระเจ้าวิลเลี่ยมมิได้เลิกอำนาจของหัวหน้าเผ่าหรือนำวัฒนธรรม อารยธรรมของนอร์มังดีเข้าไปใช้ในเกาะอังกฤษ แต่ใช้ระบบศักดินาสวามิภักดิ์ของยุโรปภาคพื้นทวีปผสมผสานไปกับระบบที่เป็น อยู่ของเผ่าต่าง ๆ บนเกาะอังกฤษโดยทรงถือว่าพระองค์เป็นเจ้าของราชอาณาจักรเป็นพระเจ้าแผ่นดิน แล้วแบ่งดินแดนต่าง ๆ ให้กับขุนนางและยอมรับเจ้าผู้ครองแคว้นต่างๆ ของอังกฤษที่ยอมเข้าสวามิภักดิ์เป็นขุนนางของพระองค์ ดังนั้นระบบศักดินาสวามิภักดิ์จึงเข้าไปฝังรากในอังกฤษด้วยพระเจ้าวิลเลี่ยม เป็นกษัตริย์ มีขุนนางปกครองแคว้นต่าง ๆ ซึ่งส่วนหนึ่งก็ไปจากแคว้นนอร์มังดี เป็นการตอบแทนที่ทำสงครามชนะ อีกส่วนหนึ่งก็คือบรรดาหัวหน้าเผ่าที่ยอมสวามิภักดิ์  การใช้กฎหมายต่าง ๆ ใช้กฎหมายชนเผ่าต่อไปตามเดิม

          ต่อมาพระเจ้าวิลเลี่ยมเห็นความจำเป็นว่าถ้าจะทำ ให้การปกครองเป็นเอกภาพเป็นปึกแผ่นและอำนาจของพระองค์เข้มแข็ง จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องมีกฎหมายที่เหมือนกันใช้ร่วมกันทั้งประเทศหรือทั่ว ทั้งราชอาณาจักร ถ้าปล่อยให้แต่ละแคว้นมีระบบกฎหมาย ระบบการบริหาร ระบบตัดสินคดีความของตัวเองแตกต่างกันไปหมด การที่จะทำให้เกิดความเป็นเอกภาพ ความเป็นปึกแผ่นย่อมจะเป็นไปไม่ได้ การที่จะทำให้สังคมชาติมีความเป็นปึกแผ่น มีความเป็นรัฐที่มีการจัดระเบียบที่ดีจะต้องทำอยู่ 2 อย่าง คือ การจัดระบบกฎหมายเสียใหม่ทั้งรัฐให้เหมือนกัน และจัดระบบการปกครองที่ทำให้อำนาจนั้นมีเอกภาพ ดังนั้น พระเจ้าวิลเลี่ยม จึงจัดตั้งศาลพระมหากษัตริย์หรือศาลหลวง (King’s Court) ขึ้น

          กฎหมายคอมมอน ลอว์ (Common Law) เป็นกฎหมายที่วิวัฒนาการมาจากคำพิพากษาของศาลพระมหากษัตริย์หรือศาลหลวง (King’s Court) อันเนื่องมาจากเดิมการพิจารณาคดีของศาลในแคว้นต่างๆ มีการพิจารณาคดีตามจารีตประเพณีของแคว้นหรือชนเผ่าตนเอง ทำให้เกิดปัญหาเมื่อมีการกระทำความผิดหรือมีข้อเท็จจริงอย่างเดียวกันเกิด ขึ้นต่างแคว้นกัน ศาลในแต่ละแคว้นตัดสินแตกต่างกัน ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมขึ้น ดังนั้น พระเจ้าวิลเลี่ยม จึงจัดตั้งศาลพระมหากษัตริย์หรือศาลหลวง (King’s Court) โดยมีการคัดเลือกผู้พิพากษาที่มีความรู้ ความสามารถจากส่วนกลางหมุนเวียนออกไปพิจารณาคดีในศาลท้องถิ่นทั่วทุกแคว้น มีการพิจารณาโดยใช้ระบบไต่สวน (Inquisitorial System) แทนการพิจารณาคดีแบบเดิม โดยถือว่าเมื่อศาลหลวงมีคำพิพากษาเกี่ยวกับข้อเท็จจริงอย่างใดแล้วศาลอื่น ๆ ต้องผูกพันพิพากษาคดีตามศาลหลวง ซึ่งในระยะต้น ๆ มีปัญหาขัดแย้งในการพิพากษาคดีมาก เพราะแต่ละแคว้นก็มีจารีตประเพณีเป็นของตนเอง การใช้กฎหมายบังคับจึงต้องใช้กฎหมายจารีตประเพณีของแต่ละท้องถิ่น แต่ในระยะต่อมาความขัดแย้งเหล่านี้ค่อย ๆ หมดไปเกิดเป็นจารีตประเพณีที่ถือเป็นหลักเกณฑ์และข้อบังคับที่มีลักษณะเป็น สามัญ (Common) และใช้กันทั่วไปในศาลทุกแคว้น ด้วยเหตุนี้กฎหมายคอมมอน ลอว์ จึงเริ่มเกิดขึ้นประเทศอังกฤษนับแต่นั้นเป็นต้นมา



          เนื่องจากจารีตประเพณีที่ใช้บังคับมิได้มีการ บัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ศาลจึงเป็นผู้ที่นำจารีตประเพณีมาใช้และพิจารณาพิพากษาคดีโดยอาศัยประเพณี ดังกล่าว คำพิพากษาศาลได้มีการบันทึกเอาไว้เพื่อเป็นบรรทัดฐานให้ผู้พิพากษาคนต่อ ๆ มาใช้เป็นแบบอย่าง (Precedent) กล่าวคือ เมื่อศาลใดได้วินิจฉัยปัญหาใดไว้ครั้งหนึ่งแล้วศาลต่อ ๆ มาซึ่งพิจารณาคดี ซึ่งมีข้อเท็จจริงเป็นอย่างเดียวกันย่อมต้องผูกพันในอันที่จะต้องพิพากษาตาม คำพิพากษาก่อน ๆ ซึ่งถือเป็นแบบอย่างนั้นด้วยคำพิพากษาของศาลจึงมีลักษณะเป็นกฎหมายอย่างหนึ่ง
          แม้ว่าศาลจะนำกฎหมายคอมมอน ลอว์ มาใช้ในการพิจารณาพิพากษาคดีเพื่อให้เป็นระเบียบเดียวกันทั่วประเทศแล้วก็ ตามแต่กฎหมายคอมมอน ลอว์ ก็ยังมีช่องว่างและไม่สามารถให้ความยุติธรรมได้ทุกเรื่อง อันเนื่องจากสภาพของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปและความซับซ้อนของเศรษฐกิจ คำพิพากษาของศาลที่มีอยู่ไม่อาจใช้บังคับกับข้อเท็จจริงบางเรื่องได้ส่งผล ให้ไม่อาจจะนำกฎหมายคอมมอน ลอว์ มาใช้เพื่อให้เกิดความยุติธรรมได้
          ครั้นต่อมาเมื่อรัฐสภาอังกฤษมีอำนาจมากขึ้น ได้มีการตรากฎหมายลายลักษณ์อักษร (Statutory Law) ขึ้นใช้บังคับอย่างแพร่หลาย โดยถือว่าเป็นกฎหมายเฉพาะเรื่องและเป็นข้อยกเว้นของกฎหมายคอมมอน ลอว์ซึ่งเป็นหลักทั่วไป ระบบคอมมอน ลอว์ ปัจจุบันมีที่ใช้อยู่ในประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา  แคนาดา  ออสเตรเลีย  นิวซีแลนด์  และประเทศที่เคยอยู่ในเครือจักรภพของอังกฤษ เป็นต้น

            ลักษณะเฉพาะของระบบกฎหมายคอมมอน ลอว์ คือ

     1. คำพิพากษาเป็นบ่อเกิดของกฎหมาย ศาลต้องผูกพันพิพากษาคดีตามแนวคำพิพากษาที่ได้มีมาแต่เดิม ตามหลัก ข้อเท็จจริงอย่างเดียวกัน ย่อมต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเดียวกัน

     2. คำพิพากษาของศาลมีความสำคัญมากกว่ากฎหมายลาย ลักษณ์อักษร กฎหมายลายลักษณ์อักษรเป็นเพียงข้อยกเว้นของกฎหมายคอมมอนลอว์ ในกรณีที่ไม่มีคำพิพากษามาปรับใช้กับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น

     3. การศึกษากฎหมายต้องเริ่มจากการศึกษาคำพิพากษาของศาลที่มีมาแต่เดิมเป็นหลัก

     4 มีต้นแบบมาจากประเทศอังกฤษ
     5. ระบบกฎหมายคอมมอน ลอว์ (Common Law) นี้ บางตำราเรียกว่า ระบบกฎหมายจารีตประเพณี


8. ระบบกฎหมายในปัจจุบันมีกี่ระบบ ระบบใดบ้าง?

ตอบ          ระบบกฎหมาย ในปัจจุบัน มี 4 ระบบ ดังนี้

            กฎหมายที่ใช้กันในโลกแบ่งออกได้เป็นสองระบบใหญ่ คือ ระบบกฎหมายจารีตประเพณี (common law system) และระบบประมวลกฎหมาย (civil law system) ซึ่งทั้งสองระบบนี้ ต่างก็มีกฎหมายที่บัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่คนโดยทั่วไปมักจดจำว่าระบบกฎหมาย (common law) ไม่ใช่กฎหมายลายลักษณ์อักษร ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน อย่างไรก็ดีการแบ่งระบบกฎหมายโดยทั่วไปที่ได้รับการยอมรับกันในเชิงกฎหมายเปรียบเทียบแบ่งออกเป็น 4 ระบบ ดังนี้

           1. ระบบกฎหมายจารีตประเพณี (Common Law System)

          เป็นระบบที่ใช้กันในเครือจักรภพอังกฤษและในสหรัฐอเมริกา โดยจะใช้คำพิพากษาที่ศาลเคยวางหลักไว้แล้วเป็นหลักในการพิจารณา ระบบนี้มีกฎหมายที่บัญญัติโดยรัฐสภาเช่นเดียวกับประเทศที่ใช้ระบบประมวลกฎหมาย แต่ระบบกฎหมายทั่วไปนี้ จะให้อำนาจผู้พิพากษาในการตีความกฎหมายอย่างมาก จึงลดทอนความสำคัญของกฎหมายของรัฐสภาลง และจะตีความในลักษณะจำกัดเท่าที่ลายลักษณ์อักษรไว้บัญญัติเท่านั้น ตัวอย่างประเทศที่ใช้ระบบนี้ในปัจจุบันนั้น ได้แก่ เครือจักรภพอังกฤษ, สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, อินเดีย เป็นต้น


          2. ระบบประมวลกฎหมาย (Civil Law System)
          เป็นระบบที่ใช้กันในภาคพื้นทวีปยุโรป โดยมีหลักกฎหมายซึ่งสืบทอดมาจากหลักกฎหมายโรมัน ในการเรียนการสอนกฎหมายของบางประเทศ เช่น เยอรมัน จะต้องเรียนรู้ภาษาลาตินก่อนจึงจะสามารถเรียนกฎหมายได้ ประมวลกฎหมายสำคัญซึ่งเป็นที่ยอมรับกันและเป็นตัวอย่างให้กับนานาประเทศ ได้แก่ ประมวลกฎหมายแพ่งฝรั่งเศส ระบบกฎหมายนี้ ผู้พิพากษาสามารถตีความกฎหมายลายลักษณ์อักษรในลักษณะขยายความได้ โดยมีหลักว่า ผู้พิพากษาจะต้องค้นหากฎหมายที่จะนำมาตัดสินคดีความจากกฎหมายลายลักษณ์อักษรก่อน หากไม่ได้จึงจะใช้หลักกฎหมายทั่วไป และกฎหมายจารีตประเพณี ตัวอย่างประเทศที่ใช้ระบบนี้ในปัจจุบันนั้น ได้แก่ ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี ญี่ปุ่น ประเทศสแกนดิเนเวีย รวมทั้งประเทศไทย เป็นต้น
          3. ระบบกฎหมายศาสนา (Religious Law System)
          หมายถึงระบบกฎหมายที่พึ่งพิงกับระบบทางศาสนาหรือใช้คัมภีร์ทางศาสนาเป็นกฎหมาย ซึ่งมักจะมีวิธีการใช้กฎหมายที่แตกต่างกันออกไป อาทิ การใช้ฮาลัคกาห์ของยิวในกฎหมายมหาชน ถือเป็นเรื่องที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นได้ lขณะที่การใช้กฎหมายอิสลามขี่นอยู่กับบรรทัดฐานการใช้กฎหมายที่มีมาก่อนและการตีความด้วยการเทียบเคียงเป็นต้น ตัวอย่างประเทศที่ใช้ระบบนี้ในปัจจุบันนั้น ได้แก่ อัฟกานิสถาน ลิเบีย อิหร่าน เป็นต้น
          4. ระบบกฎหมายผสมผสาน (Pluralistic Systems)
          หมายถึงระบบที่ใช้การผสมผสานจากสามระบบข้างต้น ซึ่งมักเกิดจากอิทธิพลทางประวัติศาสตร์ที่ทำให้เกิดการผสมผสานระหว่างระบบกฎหมายขึ้น เช่น มาเลเชียใช้ระบบกฎหมายทั่วไปเป็นหลักผสมผสานกับระบบกฎหมายศาสนา อิยิปต์ใช้ระบบกฎหมายศาสนาเป็นหลักผสมผสานกับระบบประมวลกฎหมาย เป็นต้น

9. ประเทศไทย เป็นประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายใด?

ตอบ  แบบ Civil Law


10. องค์ประกอบสำคัญของ "รัฐ" มีอะไรบ้าง?

ตอบ องค์ประกอบสำคัญของรัฐ มี 4 ประการ คือ

          1.ประชากร รัฐทุกรัฐจะต้องมีประชากรจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีจุดมุ่งหมายและมีประโยชน์ร่วมกัน จำนวนประชากรของแต่ละรัฐอาจมีมากน้อยแตกต่างกันไป ที่สำคัญคือ จะต้องมีประชากรดำรงชีพอยู่ภายในขอบเขตของรัฐนั้น
          2.ดินแดน รัฐต้องมีดินแดนอันแน่นอนของรัฐนั้น กล่าวคือ มีเส้นเขตแดนเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศทั้งโดยข้อเท็จจริงและโดยสนธิสัญญา ทั้งนี้รวมถึงพื้นดิน พื้นน้ำและพื้นอากาศ
          3.อำนาจอธิปไตย อำนาจอธิปไตย คือ อำนาจรัฐ หมายถึง อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ ทำให้รัฐสามารถดำเนินการทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับการปกครองภายในและภายนอก
          4.รัฐบาล รัฐบาลคือ องค์กรหรือหน่วยงานที่ดำเนินงานของรัฐในการปกครองประเทศ รัฐบาลเป็นผู้ทำหน้าที่สาธารณะสนองเจตนารมย์ของสาธารณชนในรัฐ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและป้องกันการรุกรานจากรัฐอื่น รัฐบาลเป็นองค์กรทางการเมืองที่ขาดไม่ได้ของรัฐ








วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 2012

สัญลักษณ์ประจำทั้งสองพรรค รูปช้าง(ซ้าย) เป็นของพรรครีพับลิกัน
ส่วนภาพลา(ขวา) เป็นของพรรคเดโมแครต

ผู้สมัครชิงตำแหน่ง ปธน. จากทั้งสองพรรค นายบารัค โอบามา จากพรรคเดโมแครต(ภาพซ้าย)
และนายมิตต์ รอมนี่ย์ จากพรรครีพับลิกัน(ภาพขวา)

คู่ชิงรอง ปธน. จากทั้งสองพรรค นายโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต(ภาพซ้าย)
และนายพอล ไรอัน จากพรรครีพับลิกัน(ภาพขวา)

นางมิเชล โอบามา ภรรยาของนายบารัค โอบามา(ภาพซ้าย)
นางแอนน์ รอมนี่ย์ ภรรยาของนายมิตต์ รอมนี่ย์(ภาพขวา)


               การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ค.ศ. 2012 เป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีทุกสี่ปีครั้งที่ 57 และมีขึ้นในวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ผู้ลงสมัครจากพรรคเดโมแครต กับรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน คู่ลงสมัคร ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่สอง คู่แข่งคนสำคัญ คือ มิตต์ รอมนีย์ ผู้ลงสมัครจากพรรครีพับลิกันและอดีตผู้ว่าการรัฐแมสซาชูเซตส์ และวุฒิสมาชิกพอล ไรอัน คู่ลงสมัคร จากรัฐวิสคอนซิน 

                ตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐอเมริกาซึ่งวุฒิสมาชิกหนึ่งในสาม 33 ที่นั่ง) ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ และการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกสองปีเพื่อเลือกตั้งสมาชิกมายังสมัยประชุมสภาคองเกรสที่ 113 นอกจากนี้ ยังมีการเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐสิบเอ็ดรัฐและการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติในหลายรัฐพร้อมกันด้วย


        



เกาะติดเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ


               สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายนว่า บรรยากาศการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นไปอย่างคึกคัก และขณะนี้หลายรัฐได้ทยอยปิดหีบไปแล้ว ประชาชนกำลังรอลุ้นผลการเลือกตั้งกันอย่างใจจดใจจ่อ พอ ๆ กับสื่อมวลชนทั่วโลกที่มีการติดตามความเคลื่อนไหวของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างไม่คลาดสายตา

          รายงานระบุว่า เมื่อเวลา 19.00 น. ของวันที่ 6 พฤศจิกายนตามเวลาท้องถิ่น หรือราว 7.00 น. ของวันนี้ตามเวลาประเทศไทย หลายรัฐในสหรัฐฯ ได้ทยอยปิดหีบเลือกตั้งไปแล้ว และกำลังรอลุ้นผลการนับคะแนนกันอยู่ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มรู้ผลการเลือกตั้งหลายพื้นที่ในช่วงสายของวันนี้ ก่อนที่จะมีการทยอยปิดหีบเลือกตั้งไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสิ้นสุดที่รัฐอะลาสก้า ซึ่งเป็นรัฐสุดท้ายที่จะมีการปิดหีบในเวลา 01.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือราว 13.00 น. ตามเวลาประเทศไทย 

          อย่างไรก็ดี แม้ว่าผลการเลือกตั้งยังไม่ปรากฏออกมาอย่างเป็นทางการ แต่จากการสำรวจคะแนนโหวตในหลายพื้นที่ พบว่า บารัค โอบามา และมิตต์ รอมนีย์ มีคะแนนสูสีกันอยู่ ทั้งผลโหวตจากประชาชนโดยตรง และจากคณะเลือกตั้ง โดยผลโหวตจากประชาชนหรือป็อปปูลาร์โหวตนั้น ปรากฏออกมาว่า ประชาชนเทคะแนนให้กับมิตต์ รอมนีย์ มากกว่า คือ 52% ส่วนบารัค โอบามา นั้น คะแนนป็อปปูลาร์โหวตอยู่ที่ 48% ขณะที่ผลโหวตจากคณะผู้เลือกตั้งหรืออิเล็กทอรัลโหวต ซึ่งยึดเป็นหลักในการตัดสินเลือกตั้งนั้น รอมนีย์และโอบามายังคงผลัดกันนำ เรียกว่าดุเดือดน่าลุ้นสุด ๆ โดยผลการนับคะแนนล่าสุด เป็นดังนี้

  • 11.20 น. คะแนนนำโด่งทะลุ 270 แล้ว โอบามา 275 ส่วนรอมนีย์ยังอยู่ที่ 203 คะแนน             
  • 11.15 น. โอบามายังคงนำรอมนีย์ที่ 250 ต่อ 203 คะแนน
  • 11.00 น. โอบามาเริ่มทิ้งห่างรอมนีย์แล้ว ที่ 244 ต่อ 193 คะแนน 
  • 10.50 น. รอมนีย์ผลิกโผ คะแนนนำโอบามาแบบเฉียดฉิว ที่ 174 ต่อ 173 คะแนน
  • 10.30 น. โอบามาตีตื้นชนะรอมนีย์ที่คะแนน 173 ต่อ 163 คะแนน
  • 09.45 น. รอมนีย์ คะแนนทิ้งห่างโอบามาอยู่มาก ที่ 146 ต่อ 109 คะแนน
  • 09.00 น. รอมนีย์ มีคะแนน 73 คะแนน นำห่าง โอบามาซึ่งได้ 64 คะแนน

          ทั้งนี้ สำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้ชนะจะต้องได้คะแนนเสียงอิเล็คทอรัลโหวตไม่ต่ำกว่า 270 เสียง จากทั้งหมด 538 เสียงทั่วประเทศ ไม่ใช่คะแนนเสียงป็อปปูลาร์โหวตจากประชาชน ซึ่งถ้าหากครั้งนี้ โอบามา หรือรอมนีย์ ชนะเพียงคะแนนเสียงอิเล็กทอรัลโหวต เขาก็จะได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแบบที่ไม่สามารถชนะป็อปปูลาร์โหวตได้นั่นเอง ส่วนคณะเลือกตั้งทั้งหมด 538 เสียงทั่วประเทศ


ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา


          หลังจากคนทั่วโลกรอลุ้นผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด ล่าสุด ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ปรากฏออกมาแล้วอย่างเป็นทางการว่า นายบารัค โอบามา ชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ และได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 2 สร้างประวัติศาสตร์การเป็นประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตที่ชนะการเลือกตั้ง 2 สมัย นับตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2      

      ปรากฏออกมาว่า นายบารัค โอบามา คว้าคะแนนเสียงอิเล็กทอรัล หรือคะแนนเสียงจากคณะเลือกตั้งทั่วสหรัฐฯ ไป 332 เสียง จากทั้งหมด 538 เสียง นับเป็นจำนวนเกินครึ่งแล้ว และกินขาด ขณะที่คะแนนเสียงของนายมิตต์ รอมนีย์ อยู่ที่ 206 เสียง



          ทั้งนี้ สรุปผลการนับคะแนนเสียงอย่างเป็นทางการ ปรากฏออกมาว่า บารัค โอบามา ชนะเลือกตั้ง

Colorado  (9 Electoral Votes), Florida  (29 Electoral Votes), Iowa  (6 Electoral Votes), Nevada (6 Electoral Votes), New Hampshire  (4 Electoral Votes), Ohio  (18 Electoral Votes), Virginia  (13 Electoral Votes), Wisconsin  (10 Electoral Votes), California  (55 Electoral Votes), Connecticut  (7 Electoral Votes), Delaware  (3 Electoral Votes), Dist. of Columbia  (3 Electoral Votes), Hawaii  (4 Electoral Votes), Illinois  (20 Electoral Votes), Maine  (4 Electoral Votes), Maryland  (10 Electoral Votes), Massachusetts  (11 Electoral Votes), Michigan  (16 Electoral Votes), Minnesota  (10 Electoral Votes), New Jersey  (14 Electoral Votes), New Mexico  (5 Electoral Votes), New York  (29 Electoral Votes), Oregon  (7 Electoral Votes), Pennsylvania  (20 Electoral Votes), Rhode Island  (4 Electoral Votes), Vermont  (3 Electoral Votes), Washington  (12 Electoral Votes) รวมทั้งหมด 332 เสียง

        ส่วนนายมิตต์ รอมนีย์ นั้น ชนะเลือกตั้งในรัฐAlabama  (9 Electoral Votes), Alaska  (3 Electoral Votes), Arizona  (11 Electoral Votes), Arkansas  (6 Electoral Votes), Georgia  (16 Electoral Votes), Idaho  (4 Electoral Votes), Indiana  (11 Electoral Votes), Kansas  (6 Electoral Votes), Kentucky  (8 Electoral Votes), Louisiana  (8 Electoral Votes), Mississippi  (6 Electoral Votes), Missouri  (10 Electoral Votes), Montana  (3 Electoral Votes), Nebraska  (5 Electoral Votes), North Carolina  (15 Electoral Votes), North Dakota  (3 Electoral Votes), Oklahoma  (7 Electoral Votes), South Carolina  (9 Electoral Votes), South Dakota  (3 Electoral Votes), Tennessee  (11 Electoral Votes), Texas  (38 Electoral Votes), Utah  (6 Electoral Votes), West Virginia  (5 Electoral Votes), Wyoming  (3 Electoral Votes) ทั้งหมด 206 เสียง





โอบามาเตรียมกล่าวสุนทรพจน์ที่ชิคาโก


          สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานหลังรู้ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามา กำลังเตรียมกล่าวสุนทรพจน์ที่นครชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ของสหรัฐฯ เพื่อขอบคุณประชาชนที่ไว้วางใจ เลือกให้เขาเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 หลังจากที่ได้ทวีตขอบคุณประชาชนชาวอเมริกันไปแล้ว ขณะที่บรรยากาศของกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครต ต่างเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ความสุข ความดีใจ         

          ส่วนทางด้านผู้แพ้การเลือกตั้งอย่างมิตต์ รอมนีย์ นั้นกลุ่มผู้สนับสนุนพรรครีพับริกันต่างโอบกอด ร่ำไห้ และกอดคอปลอบใจกันอย่างเงียบเหงา แต่อย่างไรก็ดี มิตต์ รอมนีย์จะขึ้นกลุ่มสุนทรพจน์ยอมรับความพ่ายแพ้ รวมถึงแสดงความยินดีต่อบารัค โอบามาเช่นกัน





รอมนีย์ แถลงยอมรับพ่ายแพ้-ยินดีโอบามา



            นายมิตต์ รอมนีย์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งทราบผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ ว่า ต้องพ่ายแพ้ให้กับ ประธานาธิบดี บารัค โอบามา จากเดโมแครต ไปแบบขาดลอย โดยเขาได้ออกมากล่าวกับผู้สนับสนุนในนครบอสตัน ยอมรับในความปราชัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมถึงขอบคุณผู้สนับสนุน ที่ให้กำลังใจมาโดยตลอด พร้อมกับแสดงความยินดีต่อ โอบามา ที่ได้นั่งในตำแหน่งผู้นำประเทศต่อไปอีก 4 ปี

          ในขณะที่ทางฝั่งผู้สนับสนุนของ นายโอบามา และพรรคเดโมแครต ตามเมืองต่าง ๆ ก็ได้ออกมาแสดงความยินดี ในชัยชนะครั้งนี้กันอย่างพร้อมเพรียงกัน


         

ประมวลภาพ U.S. Election 2012